ในยุคปัจจุบันที่การทำงานเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก เงินเพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอที่จะดึงดูดและรักษาพนักงานไว้กับองค์กรในระยะยาว พนักงานยุคใหม่ให้ความสำคัญกับสุขภาพชีวิตและความเป็นอยู่ที่ดีควบคู่ไปกับรายได้ที่เหมาะสม องค์กรที่มอบ "ผลตอบแทนทางอารมณ์" (Emotional Paycheck) นอกเหนือจากเงินเดือน จะสามารถดึงดูดและรักษาบุคลากรที่มีความสามารถไว้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ผลตอบแทนทางอารมณ์ (Emotional Paycheck) หมายถึง ผลตอบแทนที่ไม่ใช่ตัวเงินที่พนักงานได้รับ ซึ่งช่วยกระตุ้นและสร้างแรงจูงใจพวกเขาในระดับอารมณ์ ส่งผลต่อความเป็นอยู่ที่ดีและความพึงพอใจในงาน
จากผลการศึกษาของ Wiley Workplace Intelligence พบว่า...
สวัสดิการที่ส่งผลต่อผลตอบแทนทางอารมณ์ของพนักงานมากที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่
ความยืดหยุ่นในการทำงาน: พนักงานต้องการความยืดหยุ่นในสถานที่และเวลาทำงาน เพื่อให้สามารถจัดสมดุลระหว่างชีวิตส่วนตัวและชีวิตการทำงานได้ดีขึ้น
สุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี: องค์กรควรสนับสนุนสุขภาพกายและสุขภาพจิตของพนักงาน ผ่านนโยบายและสวัสดิการต่างๆ เช่น สนับสนุนค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพ ส่งเสริมให้พนักงานออกกำลังกาย มีนโยบายลาป่วยที่มีประสิทธิภาพ ฯลฯ
โอกาสในการเติบโตและพัฒนา: พนักงานต้องการโอกาสในการเรียนรู้ทักษะใหม่ๆ พัฒนาศักยภาพ และก้าวหน้าในสายงาน
วัฒนธรรมองค์กรที่เป็นบวก: วัฒนธรรมองค์กรที่ดีส่งผลต่อความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนร่วมงาน สร้างแรงบันดาลใจ และส่งเสริมให้งานมีประสิทธิภาพ
การมีส่วนร่วมและการมีเสียง: พนักงานต้องการมีส่วนร่วมในการตัดสินใจขององค์กร รู้สึกว่างานของพวกเขามีความหมาย และได้รับการยกย่อง
องค์กรที่มุ่งมั่นสร้าง "Emotional Paycheck" ให้กับพนักงาน จะได้รับผลประโยชน์ดังนี้
ดึงดูดและรักษาพนักงานที่มีความสามารถไว้ได้
เพิ่มขวัญกำลังใจและความมุ่งมั่นของพนักงาน
ส่งเสริมประสิทธิภาพการทำงาน
ลดต้นทุนการหมุนเวียนของพนักงาน
สร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับองค์กร
สิ่งที่ผู้ทำงานในแต่ละช่วงวันให้ความสำคัญ สะท้องถึงอายุ และประสบการณ์
จากการศึกษาถึงลำดับความสำคัญที่แตกต่างกันตามวัย...
พนักงานรุ่น Gen Z ให้ความสำคัญกับความยืดหยุ่นมากกว่าวัฒนธรรมองค์กร
จากการศึกษาพบว่าพนักงาน กลุ่มอายุ 18-24 ปี เป็นกลุ่มเดียวที่ให้ความสำคัญกับความยืดหยุ่นในการทำงาน มากกว่า วัฒนธรรมองค์กร ต่างจากกลุ่มอายุอื่น ๆ ที่ให้ความสำคัญกับวัฒนธรรมองค์กรเป็นอันดับแรก
ประเด็นสำคัญนี้สะท้อนให้เห็นถึงความแตกต่างของลำดับความสำคัญตามวัย
กลุ่มคนรุ่น Gen Z: ให้ความสำคัญกับความยืดหยุ่นในการทำงาน มากกว่าวัฒนธรรมองค์กร สิ่งนี้อาจบ่งบอกถึงความต้องการ อิสระ และ ความสมดุลระหว่างชีวิตการทำงานกับชีวิตส่วนตัว พวกเขาต้องการจัดการเวลาทำงานให้เหมาะกับความต้องการและไลฟ์สไตล์ของตัวเอง
กลุ่มอายุอื่นๆ: ส่วนใหญ่ให้ความสำคัญกับวัฒนธรรมองค์กร สิ่งนี้อาจแสดงให้เห็นว่า เมื่อผู้คนมี ประสบการณ์ ในสายงานมากขึ้น พวกเขาจะตระหนักถึงผลกระทบที่วัฒนธรรมองค์กรมีต่อ การมีส่วนร่วม และ ความเป็นอยู่ที่ดี ของตนเอง
นอกจากนี้ ประสบการณ์ชีวิตนอกเหนือจากการทำงาน เช่น การมีครอบครัว อาจทำให้พนักงานต้องการ วัฒนธรรมองค์กร ที่เป็นบวกมากขึ้น ซึ่งสามารถช่วยส่งเสริม ความสมดุลระหว่างชีวิตการทำงานกับชีวิตส่วนตัวได้ดีขึ้น
จากการศึกษา ชี้ให้เห็นถึง "ความสำคัญของการเข้าใจความต้องการที่แตกต่างกันของพนักงานแต่ละวัย" องค์กรที่สามารถปรับตัวและเสนอรูปแบบการทำงานที่ยืดหยุ่น ตลอดจนวัฒนธรรมองค์กรที่เป็นบวก น่าจะดึงดูดและรักษาพนักงานที่มีความสามารถจากทุกเจเนอเรชันไว้ได้
นอกจากนี้ ยังมีความเป็นไปได้ที่ข้อมูลนี้อาจเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา การวิจัยเพิ่มเติมในอนาคต จะช่วยให้เข้าใจถึงความต้องการของพนักงานรุ่น Gen Z ได้ดีขึ้น
วัฒนธรรมองค์กรเชิงบวก: สวัสดิการสำคัญที่พนักงานต้องการ
จากการสำรวจพนักงาน 2,013 คน โดย Wiley Workplace Intelligence พบว่า...
"วัฒนธรรมองค์กรเชิงบวก" เป็นสวัสดิการที่ไม่ใช่ตัวเงินที่พนักงานต้องการมากที่สุด และแซงหน้าตัวเลือกอื่นๆ ที่น่าสนใจ เช่น ค่าเบี้ยเลี้ยง เบิกค่าเดินทาง และอื่นๆ
ผลการสำรวจนี้สะท้อนให้เห็นถึง "ความสำคัญที่เพิ่มมากขึ้นของวัฒนธรรมองค์กรต่อพนักงาน"
วัฒนธรรมองค์กรเชิงบวก นำเสนอสภาพแวดล้อมการทำงานที่พนักงานรู้สึก:
มีคุณค่า: รู้สึกว่าตนเองเป็นส่วนสำคัญขององค์กร และได้รับการสนับสนุนจากเพื่อนร่วมงานและหัวหน้า
ได้รับการสนับสนุน: มั่นใจว่าองค์กรให้ความสำคัญกับความเป็นอยู่ที่ดีและความสำเร็จของพวกเขา
มีอำนาจ: รู้สึกว่ามีอิสระในการทำงานอย่างอิสระ และสามารถแสดงความคิดเห็นได้อย่างเปิดเผย
สิ่งเหล่านี้ล้วนส่งผลดีต่อผลตอบแทนทางอารมณ์ (Emotional Paycheck) ของพนักงาน ซึ่งรวมถึง...
ความพึงพอใจในการทำงาน: พนักงานที่มีความสุขกับงาน มีแนวโน้มที่จะมีส่วนร่วมและทุ่มเทให้กับองค์กรมากขึ้น
ความเป็นอยู่ที่ดี: พนักงานที่รู้สึกมีคุณค่าและได้รับการสนับสนุน มีแนวโน้มที่จะมีสุขภาพจิตที่ดีขึ้น
การรักษาพนักงาน: พนักงานที่มีความพึงพอใจกับวัฒนธรรมองค์กร มีแนวโน้มที่จะอยู่กับองค์กรนั้นๆ นานขึ้น
การสำรวจยังพบว่า พนักงานส่วนใหญ่ให้ความสำคัญกับวัฒนธรรมองค์กรเป็นปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจว่าจะอยู่กับบริษัทต่อหรือไม่ ข้อมูลนี้ชี้ให้เห็นว่า...
บริษัทต่างๆ ควรลงทุนในวัฒนธรรมองค์กร
การลงทุนในวัฒนธรรมองค์กร
ไม่จำเป็นต้องใช้จ่ายเงินจำนวนมาก: วิธีง่ายๆ ในการสร้างวัฒนธรรมองค์กรเชิงบวก เช่น การให้การรับรู้แก่พนักงาน ส่งเสริมการสื่อสารแบบเปิดเผย และสนับสนุนให้พนักงานทำงานร่วมกันเป็นทีม
ส่งผลตอบแทนสูง: วัฒนธรรมองค์กรเชิงบวกสามารถนำไปสู่พนักงานที่มีความพึงพอใจ มีส่วนร่วม และทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งในที่สุด จะนำไปสู่ผลกำไรที่เพิ่มขึ้น
โดยสรุป วัฒนธรรมองค์กรเชิงบวก กลายเป็นสวัสดิการที่ไม่ใช่ตัวเงินที่สำคัญที่สุดสำหรับพนักงาน บริษัทต่างๆ ที่สามารถสร้างและส่งเสริมวัฒนธรรมองค์กรเชิงบวก จะอยู่ในสถานะที่ดีที่จะดึงดูดและรักษาพนักงานที่มีความสามารถ
นอกจากนี้ ยังมีความเป็นไปได้ที่ข้อมูลนี้อาจเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา การวิจัยเพิ่มเติมในอนาคตจะช่วยให้เข้าใจถึงความต้องการของพนักงานรุ่นใหม่ได้ดีขึ้น
Comments